Ford RMA

ถ่ายน้ำมันเครื่อง เลือกอย่างไร ให้ลงตัวกับรถของคุณ?

ถ่ายน้ำมันเครื่อง เลือกอย่างไร ให้ลงตัวกับรถของคุณ?

เลือกถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างไร ให้ลงตัวกับรถ

“น้ำมันเครื่อง” ที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่แท้จริงแล้ว ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ที่ขาดไม่ได้ เพราะทำหน้าที่ครบวงจร ในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งระบบ ทั้งช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนภายใน ลดการสึกหรอ ขจัดสิ่งสกปรก และระบายความร้อน ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ตามปกติแล้ว ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี เชื่อว่าคำถามที่หลายคนอาจสงสัยตามมาคือ จะต้องเลือกน้ำมันเครื่องแบบไหน ให้เหมาะสมกับรถยนต์ของตัวเอง วันนี้เราก็มีคำตอบดี ๆ มาฝากอีกเช่นเคย 

รู้จักน้ำมันเครื่องทั้ง 4 ประเภท

1. น้ำมันเครื่องพื้นฐาน (Mineral Oil)

ทำมาจากน้ำมันดิบ ที่ผ่านการกลั่น และมีการเติมสารเติมแต่ง เป็นน้ำมันที่มีราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นเก่า ที่มีสเปกเครื่องยนต์ไม่ซับซ้อน มีเลขไมล์น้อย  หรือใช้เป็นทางเลือกชั่วคราว และต้องเปลี่ยนถ่าย บ่อยกว่าน้ำมันเครื่องชนิดอื่น อยู่ที่ประมาณ 5,000 กิโลเมตร

2. น้ำมันสังเคราะห์แท้ (Fully Synthetic Oil)

ทำมาจากน้ำมันพื้นฐาน ที่มีการกลั่น และปรุงแต่งอย่างดี ให้การหล่อลื่น ความเสถียร และความทนทาน ต่ออุณหภูมิที่สูง และต่ำได้ดีเยี่ยม จึงให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า โดยเฉพาะการลดแรงเสียดทาน ปกป้องการสึกหรอได้ดี และการทำงานในภายใต้ความร้อนสูง เหมาะสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง รถยนต์ที่เน้นเดินทางไกล และรถยนต์ที่ขับในสภาพอากาศรุนแรง มีราคาแพง แต่ใช้งานได้นานกว่ามาก ประมาณ 10,000 – 20,000 กิโลเมตร ทำให้ประหยัดในระยะยาว

3. น้ำมันกึ่งสังเคราะห์ (Synthetic Blend Oil)

เป็นการผสมผสาน ระหว่างน้ำมันพื้นฐาน และน้ำมันสังเคราะห์ ให้การปกป้อง และประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับน้ำมันพื้นฐาน แต่มีราคาย่อมเยา เป็นตัวเลือกที่สมดุลระหว่างประสิทธิภาพ และความประหยัด เนื่องจากสามารถใช้ได้ ในสภาพการขับขี่ ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับรถยนต์สมัยใหม่ ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน และเดินทางไกลเป็นครั้งคราว แม้อายุการใช้งาน จะไม่นานเท่าสังเคราะห์แท้ แต่ยังคงให้ระยะทางที่น่าพอใจ มีระยะเปลี่ยนถ่าย ประมาณ 8,000 – 10,000 กิโลเมตร

4. น้ำมันสำหรับรถวิ่งเกินระยะทางสูง (High Mileage Oil)

เป็นน้ำมันเครื่อง ที่ถูกออกแบบมา สำหรับรถยนต์ ที่มีเลขไมล์สูง วิ่งเกิน 75,000 กิโลเมตร (ประมาณ 120,000 กม.) โดยมีสารเติมแต่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาที่พบบ่อยในเครื่องยนต์เก่า เช่น การรั่วซึม การสิ้นเปลืองน้ำมัน เหมาะสำหรับรถยนต์ที่มีระยะทางวิ่งเกิน 75,000 กิโลเมตร หรือรถที่มีอาการ สึกหรอของเครื่องยนต์ให้เห็น

เกรดน้ำมันเครื่อง (Motor Oil Grades) คืออะไร?

เกรดน้ำมันเครื่อง คือ ระดับความหนืด ของน้ำมันตามมาตรฐาน ของสมาคมวิศวกรยานยนต์ (SAE) มีทั้งแบบ เกรดเดี่ยว และ เกรดรวม โดยบนฉลากน้ำมันเครื่อง จะระบุเกรด ด้วยตัวเลข และตัวอักษร 

ยกตัวอย่าง5W-40 มีความหมาย

  • ตัวอักษร ‘W’ ย่อมาจาก Winter คือ ฤดูหนาว
  • ตัวเลขตัวแรก ‘5’ หมายถึง ความหนืดของน้ำมัน ในสภาพอากาศเย็น ยิ่งตัวเลขน้อย น้ำมันยิ่งไหลได้ดี ในอุณหภูมิต่ำ ช่วยให้เครื่องยนต์ สตาร์ตติดง่าย ในสภาพอากาศเย็นจัด
  • ตัวเลขตัวที่หลัง ‘40’ หมายถึง ความหนืดของน้ำมัน เมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัด (100°C) ตัวเลขยิ่งสูง น้ำมันยิ่งข้น เหมาะกับเครื่องยนต์ที่สึกหรอ หรือใช้งานหนัก

ทั้งนี้เกรดน้ำมัน ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับรถยนต์ของคุณ จะขึ้นอยู่กับ สภาพอากาศที่ขับขี่ และคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์

5 ทริคเลือกน้ำมันเครื่องให้รถคันโปรดของคุณ!

1. ยึดตามคู่มือเจ้าของรถ อย่างเคร่งครัด  เพราะผู้ผลิตรถยนต์ จะรู้ดีที่สุด ว่าเครื่องยนต์ ต้องการอะไร  ไม่ว่าจะเป็น ระดับความหนืด (SAE) , ระดับคุณภาพ (API/ACEA/ILSAC) ต้องเลือกที่มีมาตรฐาน เท่ากันหรือสูงกว่า ที่คู่มือกำหนด ที่สำคัญ ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ 

2. เลือกประเภท ตามความต้องการเฉพาะ ของรถยนต์ หากใช้สำหรับเบนซิน จะต้องมีมาตรฐาน API “S” หรือ ดีเซล จะต้องมีมาตรฐาน API “C” หรือ ACEA “E”/”B” หรือพิจารณาจาก เทคโนโลยีเครื่องยนต์ หากเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีเทอร์โบ, ระบบฉีดตรง (DI), หรือระบบบำบัดไอเสีย (DPF) ต้องใช้น้ำมันเกรดล่าสุด เช่น API SP หรือ ACEA C-Series เพื่อป้องกันความเสียหายเฉพาะจุด เช่น LSPI

3. เลือกตามสภาพอากาศในพื้นที่ หากเป็นประเทศเขตร้อน/อากาศปกติ สามารถใช้เบอร์ W ที่ค่อนข้างสูงได้ เช่น 10W, 15W แต่หากเป็นพื้นที่ ที่มีอากาศเย็นจัด ควรใช้เบอร์ W ที่ต่ำมากเช่น 0W หรือ 5W เพื่อให้น้ำมันไหลไปหล่อลื่น ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้รวดเร็วทันทีที่สตาร์ตเครื่องยนต์ จะช่วยลดการสึกหรอลงได้มาก

4. เลือกน้ำมันเครื่อง ที่ผ่านการรับรอง จากองค์กรมาตรฐาน อุตสาหกรรมระดับสากล ที่มีความน่าเชื่อถือ ได้แก่  

API (American Petroleum Institute) สถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุด ในอุตสาหกรรมน้ำมัน และก๊าซของสหรัฐฯ โดยตัวอักษรที่ตามหลัง API จะบ่งชี้ประเภทเครื่องยนต์ ดังนี้

  • S (Service): มาตรฐานสำหรับ เครื่องยนต์เบนซิน ล่าสุดคือ API SP
  • C (Commercial): มาตรฐานสำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลงานหนัก ล่าสุดคือ API CK-4
  • F (Fuel Economy): มาตรฐานสำหรับ เครื่องยนต์ดีเซลงานหนัก ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิง ล่าสุดคือ API FA-4

ACEA (European Automobile Manufacturers Association) สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป โดยตัวอักษรที่ตามหลัง ACEA จะบ่งชี้ประเภทเครื่องยนต์ และระบบบำบัดไอเสีย ดังนี้

  • A เครื่องยนต์เบนซิน ที่ไม่มีตัวกรองอนุภาคไอเสีย (GPF)
  • B เครื่องยนต์ดีเซล สำหรับรถยนต์นั่ง/รถบรรทุกเบา ที่ไม่มีตัวกรองอนุภาคไอเสีย (DPF)
  • Cเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล สำหรับรถยนต์นั่ง/รถบรรทุกเบา ที่มีตัวกรองอนุภาคไอเสีย (GPF และ DPF)
  • E เครื่องยนต์ดีเซลสำหรับงานหนัก

◾ ILSAC (International Lubricant Standardization and Approval Committee ) มาตรฐานน้ำมันหล่อลื่นสากล เป็นการร่วมมือกัน ของผู้ผลิตรถยนต์ จากอเมริกาและญี่ปุ่น เน้นประสิทธิภาพของน้ำมัน, การประหยัดเชื้อเพลิง, และการปกป้องเครื่องยนต์ จะมีตัวย่อระบุบนฉลาก เช่น GF-6

5. ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และไส้กรอง ตามช่วงระยะเวลา ที่ผู้ผลิตกำหนดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงประสิทธิภาพรถยนต์ ให้ยังคงดีเยี่ยมอยู่เสมอ 

การทำความเข้าใจ รายละเอียดทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกน้ำมันเครื่อง ที่เหมาะสมกับรถยนต์ ได้อย่างมั่นใจ แต่ถ้าใครไม่อยากยุ่งยาก เรามีทางเลือกที่ง่ายกว่านั้น เพียงเข้ามาที่ ศูนย์บริการ Ford RMA ทุกสาขา เรามีบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง พร้อมช่างผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยให้คำปรึกษา รับรองว่าอุ่นใจ ได้มาตรฐานแน่นอน


ขอบคุณข้อมูล:  https://www.motorist.co.th/ , https://www.valvolineglobal.com/ , https://www.mobil.com/ , https://pttlubricants.pttor.com/

ลงทะเบียนรับส่วนลด

0
    ตะกร้าสินค้า
    ตะกร้าสินค้าว่างเปล่ากลับสู่ร้านค้า
    Instagram